แคนาดาน่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่นอกจากโตรอนโตกับแวนคูเวอร์แล้วเมืองอื่นๆ ก็แทบจะไม่ค่อยได้ยินมากซักเท่าไหร่ ตอนเรียนเราก็รู้แค่ว่ามอนทรีออลเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแคนาดาตั้งอยู่ในรัฐควีเบกซึ่งผู้คนใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารกัน
ปีนี้เป็นปีแรกที่เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในมอนทรีออลเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนกับเพื่อนๆ จากมหาวิทยาลัย จากที่รู้จักมอนทรีออลเล็กน้อยจากวิชาภูมิศาสตร์ก็กลายเป็นสนิทสนม จนรู้สึกหลงรักมอนทรีออลและขอยกให้เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองโปรดของเราเลย
ในโพสต์นี้เราจะมาเล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ของกิน ขนม และผู้คนที่มอนทรีออลในแบบที่เราได้พบเจอ
ทุกๆ เช้า
มอนทรีออลเป็นเมืองขนาดใหญ่พอสมควรโดยมีภูเขาคั่นกลางระหว่างโซนดาวน์ทาวน์และโซนหลังเขา เรามาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยมอนทรีออลหรือ University de Montreal ซึ่งดันไปอยู่หลังเขาฮะ พวกเราจองที่พักกันแถวๆ ถนนชื่อว่าโคดิเนย์ (Cote Des Neiges) ทุกๆ เช้าเราต้องเดินประมาณ 30 นาทีขึ้นเขาเพื่อไปมหาวิทยาลัย พอเดินไปถึงที่ทำงานก็ได้เหงื่อกำลังดีเลย มหาวิทยาลัยค่อนข้างสงบในช่วงหน้าร้อน มีนักเรียนน้อยมากๆ โดยสิ่งที่ชอบที่สุดในมหาวิทยาลัยสำหรับเราแล้วคงเป็นร้านกาแฟชื่อว่าลาแพลงค์ (La Plank Cafe) ซึ่งเป็นร้านกาแฟลึกลับในตึกฟิสิกส์เปิดโดยนักเรียน ซึ่งขายกาแฟแก้วละ 1 เหรียญแคนาดาเท่านั้น! ถูกมากจริงๆ
หรือถ้าอยากกินอะไรระหว่างทางไปโรงเรียนก็มีร้านกาแฟและร้านอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเศสมากมายให้เลือกกินครัวซองค์ตั้งแต่ร้าน Première Moisson, Au Pain Dore Ltee, หรือ Duc de Lorraine การได้กินครัวซองค์ดีๆ กับกาแฟเย็นตอนเช้าในหน้าร้อนนี่ทำให้ร่างกายสดชื่นมากๆ ส่วนราคาก็ไม่แพงเลย ตกแล้วประมาณ 2.5-3.5 ดอลลาร์ต่อชิ้นเท่านั้น
วิ่งไปทุกที่
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่ามอนทรีออลเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และนอกจากนั้นราคาขนส่งมวลชนค่อนข้างแพงไปนิด การนั่งรถไฟหรือรถเมล์ต่อครั้งตกแล้วต้องใช้เงิน 3.25 ดอลลาร์แคนาดาเลยหล่ะ ประเด็นคือเราแลกเงินมาเพียง 600 เหรียญสำหรับกินอยู่ตลอด 20 กว่าวัน ถ้าร้านอยู่ไม่ไกลมากหรือที่ที่อยากไปอยู่ไม่ไกลมาก บางทีเราก็เลือกที่จะวิ่งไปมากกว่านั่งรถไฟ
สถานที่ที่เราชอบวิ่งไปมากที่สุดคงจะเป็นจุดชมวิวที่ Mont Royale ใช้เวลาวิ่งจากบ้านขึ้นเขาไปประมาณ 40 นาที ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่เหมาะสำหรับการมาตอนเย็นมากๆ เนื่องจากแสงจะสาดไปที่ตึกในเมือง และถ้าเรารอจนใกล้ค่ำก็จะเห็นความสวยงามของเมืองในตอนกลางคืนด้วย
ถัดมาที่เราชอบมากๆ ก็คงเป็นโบสถ์ St. Joseph Du Mont Royale ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ถ้าใครจะมาที่นี่ควรมาตอนเย็นๆ เนื่องจากจะมีกลุ่มคนและวัยรุ่นแถวนั้นมานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกกัน ได้บรรยากาศของเมืองไปอีกแบบนึง
เรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างนึงคือมอนทรีออลมีผู้อพยพชาวเขมรกลุ่มใหญ่พอสมควร ซึ่งแถวๆ บ้านเราก็มีร้านอาหารเขมรขึ้นชื่อที่เพื่อนแนะนำ เราเลยไปลองกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเขมรดูซะหน่อยที่ร้าน Restaurant Phnom Penh รสชาติก๋วยเตี๋ยวเนื้อพร้อมกับน้ำซุปกระดูกหมูนี่ถือว่าจัดจ้านเหมือนได้กินชายสี่หมี่เกี๊ยวตอนหิวในเวลาเที่ยงคืนเลยทีเดียว ดีจริงๆ
ยังไม่หมด ยังมีร้านแปลกกว่านั้นอีกชื่อว่า Gibeau Orange Julep ซึ่งเป็นร้านอาหาร Fast food ซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนผลส้ม แล้วก็ขายน้ำส้มด้วยนะ น้ำส้มที่นี่ใส่ส่วนผสมอะไรซักอย่างซึ่งเค้าไม่บอกสูตร แต่ทำให้น้ำส้มนุ่มนวลมากๆ อร่อยแบบตอนเขียนโพสต์อยากจะกลับไปกินใหม่
อาหารประจำจังหวัด
อาหารที่ขาดไม่ได้เลยที่ต้องลองก็คือพูทีน (Poutine) นั่นเอง คำถามแรกที่เราได้ยินชื่อนี้ก็นั่นแหละครับ “พูทีนคืออะไร” พูทีนคือการเอาเฟรนช์ฟรายราดนำ้เกรวี่ จากนั้นโปะด้วยชีสเคิร์ด (ชีสเป็นก้อนๆ) และท้อปปิ้งต่างๆ ที่เราอยากได้ จะเป็น smoked meat หรือเป็ด หรือไส้กรอก อะไรก็ได้ ฟังครั้งแรกก็แทบเป็นลมกับปริมาณแคลอรี่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ พูทีนเป็นอาหารที่อร่อยมากกกก (ก. ไก่ 500 ตัว) ยิ่งได้กินตอนเมาเนี่ยนะ ความฟินยิ่งกว่ากินถั่วไปอีก
ระหว่างที่อยู่ที่นี่เราไปร้านพูทีนมาหลายที่ ตั้งแต่ร้านดัง La Banquise แถวๆ ย่าน Le Plateau Mont Royal และ Le Smoking BBQ แถวๆ ดาวน์ทาวน์ กินครั้งแรกก็รู้สึกเลี่ยนๆ นะ พอครั้งที่สองรู้สึกชอบ ตอนนี้ที่บ้านเวลาเที่ยงคืน อยากกินอีกเป็นที่สุด
สุดสัปดาห์
สุดสัปดาห์ในมอนทรีออลน่าจะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดในช่วงที่มาอยู่ที่นี่เลยเพราะว่ามีทั้ง Street Festival และสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ หลายที่ในเมืองที่เราได้มีโอกาสไปเที่ยว สำหรับใครที่สนใจออกไปเที่ยวมอนทรีออลในช่วงสุดสัปดาห์ เราสามารถซื้อบัตรรถไฟฟ้าสำหรับสุดสัปดาห์เท่านั้นก็ได้ โดยบัตรจะใช้ได้ถึงวันอาทิตย์ตอนกลางคืนเลยหล่ะ
เนื่องจากซื้อตั๋วสุดสัปดาห์มาแล้วก็เลยต้องใช้ให้คุ้มค่าซะหน่อย ออกไปถ่ายรูปมาหลายที่มากๆ
- Habitat 67 สถาปัตยกรรมแบบเลโก้โดยโมเช ซาฟดี (Moshe Safdie) อพาร์ทเม้นท์คอมเพล็กซ์นี้ถูกสร้างขึ้นในสมัย 1967 ซึ่งในปีนั้นมอนทรีออลได้เป็นเจ้าภาพการจัดงาน World’s Fair หรือ World Expo โดยธีมของงานเป็นธีมที่ว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในช่วงหลังปี 67 ทางทีมงานซึ่งมีอาจารย์ของโมเช่ได้ดึงตัวโมเช่กลับมาจากอเมริกาหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย McGill เพื่อให้มาออกแบบอพาร์ทเม้นท์คอมเพล็กซ์นี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากธีสิสของเขาตอนเรียนจบ ถ้าใครได้มาทัวร์ก็สามารถขึ้นไปชมในห้องด้านบนที่ครอบครัวซาฟดีเคยอยู่ได้ด้วย
- Biosphere ก็เป็นอีกหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในช่วง World Expo 67 ซึ่งอยู่ในส่วนของ American Pavillion ในปัจจุบันเราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับลักษณะของโดมของ Buckminster Fuller จากใน Universal Studio นั่นเอง สำหรับ Biosphere นั้นปัจจุบันด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์สิ่งแวดล้อมที่คนสามารถเข้าไปชมได้ฮะ
- Olympic Stadium นอกจากงาน World Expo แล้ว มอนทรีออลก็เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกอีกด้วย โดยเค้าได้สร้างสนามกีฬาโอลิมปิก หน้าตาคล้ายๆ ยานอวกาศขึ้นมา ถ้าใครอยากเห็นวิวของเมืองก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปด้านบนได้ เป็นจุดชมวิวเล็กๆ ที่เห็นทั้งเมืองเลย ส่วนรอบๆ สนามตอนนี้ก็เป็นที่ให้คนมาออกกำลังกายได้ คล้ายๆ กับสนามศุภชลาศัยอารมณ์นั้น ด้านข้างสนามกีฬาก็ยังมี Biodome อีกด้วย แต่ว่าช่วงที่เราไปเค้าปิดซ่อมบำรุงเลยเข้าไปไม่ได้
-
ย่าน Plateau Mont Royal สำหรับขาฮิปและสาวกที่ชอบ Street fest หรือร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านขนมชิคๆ ที่ไม่อยากไปเดินในดาวน์ทาวน์ ขอแนะนำให้ไปเดินแถวนี้เลย แถวนี้มีร้านไอศกรีมอร่อยมากๆ เช่น Kem Coba และร้าน Bagels เก่าแก่อีกหลายร้าน รสชาติดี ราคาไม่แพง ซึ่งกลับบ้านมากินได้ทั้งสัปดาห์
-
Old Port of Montreal ย่านท่าเรือเก่านี้เป็นโซนท่องเที่ยวหลักของที่นี่เลย การเดินแถว Old Port ให้บรรยากาศเหมือนเดินในยุโรปยังไงอย่างงั้น ที่ขาดไม่ได้เวลามาแถวนี้เลยก็คือการซื้อ Maple Syrup ไปฝากเพื่อนๆ ร้านที่เราซื้อของฝากกลับคือร้าน Délices Érable & Cie
นอกจากนั้นก็ยังมีที่กินที่เที่ยวอีกเยอะแยะเลย ต้องสปอยว่าอาหารเอเชียที่นี่อร่อยและราคาย่อมเยามากๆ ทิ้งท้ายนี้เราขอขอบคุณคนไทยในมอนทรีออลและรุ่นพี่ที่แนะนำที่กินและที่เที่ยวให้ ประทับใจมากๆ ฮะ ไว้จะกลับมาเที่ยวใหม่อย่างแน่นอน